บันทึก London ชีวิตและการเดินทาง
โดย พร อันทะ เมื่อ
เวลาสิบสองชั่วโมงสี่สิบนาทีบนเครื่องบินคงไม่ต่างอะไรกับการเดินทางด้วยรถทัวร์จากกรุงเทพมหานครไปกลับหนองคายโดยไม่ได้จอดพักสักเท่าไหร่ แต่ข้างบนนี้เขายังมีบริการเบียร์ ไวน์และคนแปลกหน้านั่งข้างๆ ที่พร้อมจะเริ่มบทสนทนากับเราเสมอ
เดินตามเขาไป คือสิ่งที่ช่วยเราได้เสมอเมื่อเราเจอกับสถานที่ไม่คุ้นชิน Terminal 5 ต้องต่อรถรางเพื่อไปยังตรวจคนเข้าเมือง น้าสาวคนนั้นดูงงๆ แกเดินมาใกล้พร้อมเอ่ยทักทาย “คนไทยหรือเปล่าคะ” แกไม่ได้กรอก Landing card และไม่ได้หยิบติดมือมาจากบนเครื่อง แต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีเจ้าหน้าที่นั่งหน้าเบื่อพร้อมตะโกนถามและแจกก่อนเข้าอยู่แล้ว ผมก็เดาถั่วบอกให้แกกรอกจนเสร็จเมื่อถึงคิว ยินดีกะแกด้วยเพราะใกล้จะได้เจอหน้าลูกสาวที่ยืนรออยู่ตรงทางออกแล้ว ส่วนผมนั่นหรือทำตัวเหมือนเดินทางกลับบ้าน แท้ที่จริงแล้วครั้งนี้คือครั้งแรกที่เหยียบแผ่นดินยุโรป
ชายใส่สูทถือป้ายมีชื่อผมยืนรอผมอยู่ตรงทางออกนานมากแล้ว Mercedes-Benz สีดำขลับพร้อมที่จะนำเราเข้าสู่ใจกลางมหานครลอนดอน โดยมี St. Ermin’s Hotel คือเป้าหมายของการเดินทาง ตามคาด บทสนทนาของผมกับคนขับว่าด้วยเรื่องฟุตบอลผสมกับประสบการณ์แปลกประหลาดของชายชาวอินเดียกับชีวิตที่พัทยาของเขาเมื่อสามสิบปีก่อน กับการเคยถูกชาวบ้านมอมเหล้าขาว ถูกชวนกินข้าวเมื่อเดินผ่านหน้าบ้านคนแปลกหน้าและความอยากที่จะพาครอบครัวกลับไปเยือนเมืองไทยอีกรอบ แน่นอน ที่อาเซน่อลแพ้เชลซี 0-2 เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ในค่ำคืนแรกคงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่่าการได้เหยียบเกาะอังกฤษเป็นครั้งแรกในชีวิต สถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องที่สวยงามตามคำร่ำลือ ผู้คนที่ขวักไขว่ เดิน เดิน เดิน ระบบการจราจรรถยนต์ที่เป็นระเบียบ นักท่องเที่ยวที่กำลังยกโทรศัพท์มือถือถ่ายรูป (เราก็ทำเหมือนเขานั่นแหละ) การพักอยู่แถวๆ Caxton Street ทำให้สามารถเดินไปยังจุดสำคัญต่างๆ ได้ง่าย แค่คืนแรกที่เราไปทานอาหารเย็น เดินออกมาจากโรงแรม เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาก็เจอหอระฆังในตำนาน ผ่าน Westminister Abbey และเมื่อถึงร้านอาหารเราเป็นพวกมาทีหลังคนอื่นๆ กินจะเสร็จกันอยู่แล้ว ผมนั่งกับ Luke ก็เลยได้วิสาสะสนทนาเรื่องราวชีวิตกันเล็กน้อย กับเหตุการณ์หลังจากที่เขาเพิ่งขายบริษัทให้ Google ไปพร้อมทั้งพนักงานทั้งหมดก็กลายเป็นพนักงานของ Google ส่วนตัวเขาก็ต้องไปเป็น Product Director ดูแลหลายภาคส่วนใน Google รวมไปถึง Google+ ซึงฟังแล้วน่าตลึงดีจริงๆ
วันที่สองหลังจากเยี่ยมชมเมืองด้วยการนั่งรถเมล์แดงอังกฤษรุ่นเก่าที่สงวนไว้ให้เช่าเฉพาะนักท่องเที่ยวและรับอาหารค่ำสไตล์อินเดียแล้ว ผมกับเพื่อนชาวโปแลนสองคน ชาวสวิชเซอแลนด์อีกหนึ่งคนและชาวอินโดนีเซียอีกคนก็ตัดสินใจเดินกลับโรงแรมด้วยระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ตามถนนสาย A4 ผ่านหน้า Nutural History Museum ผ่าน Harrods เรียบ Hyde Park ทะลุเข้า Buckingham Palace เรียบไปยัง St. James Park ก่อนเข้าโรงแรมเราแวะ Pub แล้วก็ได้เบียร์อังกฤษคนละไพน์แล้วก็กลับที่พัก เพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้าจากการเดินทางที่ติดค้างมาจากวันก่อน การประชุมและ Workshop ทั้งวัน
คืนที่สามหลังจากเรื่องงาน Workshop กับ Luke Wroblewski เสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็แวะออกไปหาเบียร์จากผับแถวๆ โรงแรมรองท้อง เมื่อถึงเวลาเราก็มุ่งหน้าสู่ The Noël Coward Theatre เพื่อที่จะชมละครเวที Shakespeare in love – The Play การมาต่างบ้านต่างเมืองแล้วยังมีโอกาสได้ดูละครเวทีแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ผมต้องซื้อตั๋วเข้ามาชมเองคงต้องคิดหนักนิดหน่อยเพราะราคาตั๋วไม่ธรรมดาจริงๆ Shakespeare in love ในเวอร์ชั่นนี้สนุกและไม่ได้ทำให้พวกเราผิดหวังแต่อย่างใด คงไม่ต้องถามถึงฝีมือและคุณภาพ ความฮา เสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นตลอดระหว่างการแสดงเป็นการยืนยันได้อย่างดีว่า ละครไม่ได้เป็นอย่างที่เราหลายคนคิดว่ามันจะต้องเป็นละครเพลงแสนเศร้าเคล้าน้ำตาเวลาหาว ตรงกันข้ามมันกลับตลกเหลือเชื่อ
ค่ำคืนยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ว่าแล้วพวกเราก็รวมตัวกันเพื่อเปิดหูเปิดตากับลอนดอนยามค่ำคืน บรุษ 8 คนกับภาระกิจที่ไม่ได้วางแผนไว้ว่าเราจะไปเที่ยวไหน แต่หลักๆ ก็คือเดินไปเรื่อยๆ แวะดื่มระหว่างทางกลับโรงแรม ซึ่งย่าน Leicester Square ก็ไม้ทำให้เราผิดหวัง เสียแต่ว่าเสียงระฆังที่สองเร่งให้เราต้องสั่งเบียร์เพิ่ม ย่าน Soho คือเป้าหมายต่อไป ระหว่างทางผมมีโอกาสแวะ Sex Shop แต่ก็ไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือออกมา มีเพียงแค่ประสบการณ์แปลกๆ ก็ดีเหมือนกัน ผับตึ๊ดๆ ในลอนดอนไม่คึกคักสนุกสนานเหมือนบ้านเราหรืออาจเป็นเพราะพวกเราส่วนใหญ่ไม่ใช่วัยรุ่นพอที่จะนั่งนาน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจกลับที่พักโดยมีผมเป็นผู้นำทาง การเลี้ยวผิดสองครั้งพร้อมกับพาคนอื่นเดินทะลุเข้าไปยังสวน St. James ใต้ความมืดของเวลาเกือบตีสอง อุณภูมิ 8 องศาเซลเซียสก็ไม่ได้ทำให้ใครป่วยไข้ เราทั้งหมดถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
เช้าวันแยกย้ายก่อนที่จะออกจากโรงแรมผมถือโอกาสใช้เวลาช่วงเช้าที่มีเดินชมเมืองเพื่อที่จะไม่ได้ต้องเสียเวลาแวะกลับมาในระแวกนี้อีกในภายหลัง เป็นเวลา 9 โมงเช้า เสียงระฆังจากหอนาฬิกาในตำนานก็ดังขึ้น ซึ่งตอนแรกผมตกใจนึกว่าใครเปิดเพลง Hells Bell ของ AC/DC ซะเสียงดังขนาดนั้น หลังจากนั้นผมก็เดินวนใกล้ๆ หนึ่งรอบได้กาแฟ Americano ร้อนๆ จากร้านริมถนนตรงหัวมุมแล้วก็มานั่งดูชีวิตชาวลอนดอนในชั่วโมงเร่งรีบยามเช้าในสวนเล็กๆ ก่อนแวะกลับโรงแรม
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมก็อัปเปหิตัวเองออกจากโรงแรมที่สนนราคาคืนละประมาณ 320 ปอนด์ มายังรูหนูที่เหมาะสมกับตัวเองกับโรงแรมราคาคืนละ 80 ปอนด์ แถว Fulham ด้วยการเดินกับระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ออกเดินลากกระเป๋าที่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากเมืองไทยอัดแน่นอยู่ข้างใน โดยมีวัตถุประสงค์คือเพื่อที่จะได้เห็นสองข้างทางระหว่างเดินให้ได้มากที่สุด เรียกได้ว่าขอเก็บบรรยากาศ เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
หนึ่งชั่วโมงกับอีกยี่สิบห้านาทีผ่านไปผมก็มาถึงที่นอนแห่งใหม่ซึ่งแตกต่างจากสามคืนที่ผ่านมาแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า แต่จะสนใจไปใยเอาแค่นอนได้ก็พอ เมื่อเก็บข้าวของเสร็จก็ได้เวลาสำรวจระบบรถไฟอันเลื่องชื่อ Oyster Card ที่ภรรยาให้มาช่วยได้ดีทีเดียว เงินที่เหลืออยู่ในบัตรสามารถพาผมไปถึง Paddington ได้ แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด แวะเติมน้ำมันยามบ่ายสักไพน์ก่อนเดินเรียบ Hyde Park ไปยังห้าง Primark เพื่อซื้อชุดหล่อให้ลูกชาย ในห้างที่ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในสำเพ็ง เมื่อได้ของตามต้องการพร้อมกับอาการเข่าบวมด้วยความที่เดินเยอะตลอดสามวันทำให้ตัดสินใจมุดใต้ดินกลับที่พัก
“ไม่สิ นอนไม่ได้นี่มึงบ้าไปแล้วหรือไง นี่มันแค่ห้าโมงเย็นนะ ” ผมพูดกับตัวเอง ดังนั้นผมจึงออกเดินไป Notting Hill และมันคือการเดินขึ้นเนิน แวะผับเติมเบียร์ แวะร้านหนังสือ แวะ Old Swan Pub เติมเบียร์อีกครั้ง เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนได้ Pizza และลงใต้ดินกลับที่พักด้วยอาการเข่าบวมมากกว่าเดิม
ในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่สองที่จะต้องบินเดี่ยว โปรแกรมวันนี้คือ นั่งรถไฟขึ้นทางทิศเหนือของลอนดอนไปเหยียบ Emirates Stadium กลับเข้ามา Convent Garden เดินเรียบแม่น้ำกลับที่พักและแวะหาเบียร์แดกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
วันสุดท้ายที่จะมีเวลาเที่ยวก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทยผมมีโปรแกรม เบาๆ แค่ออกไป Natural History Musuem แล้วก็ไปเจอเพื่อนที่เราเคยเจอกันครั้งนึงที่เกาะไหงเมื่อสี่ปีที่แล้ว
หลังจากบอกลาเพื่อนเรียบร้อย ท้องฟ้าอึมครึม ผมก็มุ่งหน้ากลับสู่ที่พักโดย London Tube สะดวกสบายเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งในชั่วโมงเร่งด่วนทางเข้าที่ต้องสแกนบัตรจะเปิดทิ้งไว้ เพื่อความรวดเร็วในการเดินเข้าเดินออก เราต้องสแกนและเดินผ่านไปโดยไม่ต้องรอให้ประตูเปิดเพราะมันเปิดค้างอยู่แล้ว จะมีเสียงคอยเตือนว่าอย่าสแกนซ้ำเพราะเครื่องจะแดกเงินเมิงสองเด้ง ผมคิดว่าต้องมีนักท่องเที่ยวหลงกลนี้ของการรถไฟอังกฤษแน่ๆ นั่นจึงเป็นที่มาของป้ายที่ติดย้ำอยู่ทั่วไป ถ้าสุ่มตรวจใครแล้วไม่เจอบัตรเดินทางจะโดนปรับ 80 ปอนด์ ซึ่งมันก็คงคล้ายๆ กับป้ายห้ามฉี่ใส่กำแพงนั่นแหละ
ระว่างทางที่นั่งรถไฟกลับผมก็คิดไปเรื่อย นี่มันคืนสุดท้ายนี่หว่า ดังนั้นผมตัดสินใจโผล่พรวดขึ้นที่สถานี South Kensington โดยกะเดินหา Pub แถวๆ นั้นเพื่อจัดเบียร์พื้นบ้านแล้วก็นั่งดูบอลในแมตซ์ระหว่าง เอสโตเนีย เจอกับ อังกฤษแล้วค่อยเดินกลับที่พัก แน่นอนครับท่านลอนดอนมีผับอยู่ทุกมุมถนน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินหานาน ผมก็มุดเข้าไปในนั้นซึ่งมีคนเต็ม แต่ที่นี่ประเทศเสรีมึงไปนั่งกับใครก็ได้ถ้าเขาไม่ได้สงวนเก้าอี้ไว้ให้เพื่อน แค่สุภาพกะเขาหน่อย หลังจากมีเบียร์ในมือแล้วผมก็กวาดสายตาที่ว่างและขอนั่งกับหนุ่มชาวแมนเชสเตอร์ที่เพิ่งอ่อนล้าจากการวิ่งมาราธอนในช่วงเช้าและเพลียซ้ำเข้าไปอีกเมื่อในนาทีที่ 60 อังกฤษยังยิงประตูไม่ได้เลย
สิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักได้หลังจากการเดินทัวร์ลอนดอนครั้งนี้คือ การเดินตามที่หนังสือชวนเที่ยวคงไม่ใช่แนวทางถนัดสำหรับผม เพราะผมไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนเยอะๆ โดยเฉพาะทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือมาเที่ยว แต่ละจุดแต่ละที่ที่หนังสือเหล่านั้นแนะนำก็มักจะมีคนที่ถูกแนะนำมาเหมือนกันเสมอ วันสุดท้ายที่ผมเดินชมเมืองในมุมแปลกๆ กับเพื่อนจึงเป็นวันที่น่าประทับใจที่สุดของผมในลอนดอน เพราะการได้เห็นเมืองนี้ในมุมแปลกๆ ก็ดีเหมือนกันและไม่ต่ำกว่า 20 ผับที่ผมเดินเข้าเดินออก แน่นอนผมยกเบียร์ Camdent Town เป็นเบียร์พื้นบ้านที่ชื่นชอบที่สุด
สำหรับการไปเที่ยวแบบผมแล้ว สิ่งที่แพงที่สุดคือค่าที่พัก ส่วนเรื่องการกินผมไม่ถือเป็นสาระเท่าไหร่ ผมเน้นแต่การดื่ม การเดินทางถ้าเราเดินเรื่อยๆ ได้เราก็ประหยัดค่ารถไฟซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องประหยัดหรอกไอ่ค่ารถไฟเนี่ย เพราะมันก็ไม่ได้แพง แน่นอนผมจะกลับไปอีก รอบหน้าคงไม่ได้อยู่แค่ในลอนดอน คงรวมเมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจเข้าไปในแผนการเดินทางด้วย พิพิทภัณฑ์ต่างๆ ก็ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมตามที่ควรจะเป็น
มีความสุขกับการเดินครับ