ไม่มีโทรศัพท์และเครื่องปรับอากาศ

โดย พร อันทะ เมื่อ

๑.

ผมชอบประโยคนี้มาก หลังจากได้อ่านมันบนปก พ๊อกเก๊ตบุค เล่มล่าสุด ของ นักเขียนนาม วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ผู้ซึ่งได้ถูกขนานนามว่าเป็นนักสัมภาษณ์ ตัวฉกาจคนหนึ่งของเมืองไทย รวมทั้งงานเขียนที่ไม่ธรรมดา ผมติดตามอ่านงานของนักเขียนคนนี้ มาก็นานโข อาจจะไม่หมดทุกอย่าง ทุกเล่มแบบ แฟนพันธุ์แท้ แต่ก็เรียกว่าเยอะเอาก

ละล่าสุดกับ ไม่มีโทรศัพท์ และเครื่องปรับอากาศ ผมอ่านรวดเดียวจบ อ่านเรื่อยๆ ซึมซับความรู้สึกเรื่อยๆ เพราะส่วนใหญ่ เวลาผมทำงาน ผมจะไม่มีโทรศัพท์และเครื่องปรับอากาศ ครับ

ใช่ครับ ผมไม่ใช้โทรศัพท์ มือถือ ผมมีเบอร์ แต่คนโทรหาไม่เคยติด ติดผมก็ไม่ค่อยได้รับ และตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าโทรศัพท์มือถือ ผมอยู่ไหน ปลายปี 2548 ก่อนปีใหม่เช่นนี้แหละครับ เมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะเลิกใช้โทรศัพท์ มันพังเพราะโดนลูกยิงระดับพระกาฬ ของฝ่ายตรงข้าม

ทุกวันพุธ เวลาประมาณ สองทุ่ม เรามีนัดกันที่ สนามแห่งความมืด ใน ม.รามฯ หน้าสนามราชมังฯ มีบ้างที่เสีย 80 บาท เตะอินดอร์ แล้วแต่เสี่ยเจียง(*1) เขาจัดให้ ที่ผมเรียกว่าสนามแห่งความมืด เพราะมันมืดจริงๆ ครับ ใครเคยไปเล่นคงรู้ว่ามันไม่ได้สว่างมากมาย โดยเฉพาะตรงที่พวกผมเล่นประจำ โลเคชั่นมันอำนวยต่ออย่างอื่นมากกว่าเตะบอลเป็นไหนๆ แต่ถ้าวันไหนเสี่ยเจียงเขาคึก นึกได้ เราก็จะได้เล่นในโรงยิม สนนราคาที่ 80 บาทต่อคน

วันที่โทรศัพท์ ผมจากไป ผมไม่นึกว่ามันจะพัง อาจเป็นเพราะ ความ คิดไม่พบ(*2) ของผมเองว่ามันอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าหากเอาโทรศัพท์ ไปวางไว้หลังโกล์ แต่โทรศัพท์ นั่นไม่ได้ราคาแพง เลิศหรู จอสีดูทีวีได้แต่อย่างใด มันเป็นโทรศัพท์ ขาวดำ เสียงเรียกเข้าแบบโมโนโทน ผมซื้อมาจากตลาดนัดที่สารคาม ด้วยราคาสองพันกว่าบาท แต่การใช้งานผมก็เรียกว่าคุ้มแล้ว จึงไม่ได้เสียดายแต่อย่างใด แต่ก็เก็บมันเอาไว้หลังจากที่มันพัง เพราะโดนโกล์เหล็กกระเด้งทับแล้วถูไถไปกับพื้นซีเมนส์

หลังจากนั้นมา ผมก็เลิกใช้โทรศัพท์ไปโดยปริยาย หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ซื้อใหม่ ต้องเอาไว้ติดต่องาน ติอต่อคนไม่ใช่หรือ ใช่ครับ แต่อย่างผมแล้ว ไม่ต้องใช้ก็ได้นะ ผมว่า เอาให้ผมโทรหาดีกว่า ไม่ต้องลำบากโทรมา ตู้สาธารณะก็ออกจะเยอะแยะ (แต่บางทีหาไม่เจอก็หงุดหงิดเหมือนกันแฮะ)

หลังจากเลิกใช้โทรศัพท์ไปแล้ว คราวนี้มาถึงเรื่องไม่มีเครื่องปรับอากาศ บ้าง เจ๊อ้วน นาทองซอย 3 อย่าเพิ่งว่าผมนะ ถ้าหากจะใช้สิทธิ์ พาดพิง (หวังว่าแกคงไม่เล่นเน็ตและคงไม่คิดเขียน CSS ) เจ้าของอพาร์ทเม้น ระดับปานกลางที่ผมเช่าอยู่ หลังจากที่ผมกับเพื่อนๆ แตกกระจายออกจากบ้านเช่าหลังเก่า ผมก็มาเช่า เจ๊อ้วนอยู่ ด้วยความที่ว่า น่าจะสะดวกสะบาย พร้อมสรรพ แอร์ เคเบิลทีวี อินเทอร์เน็ต ติดได้ถ้าอยากติด ห้องกว้างขวางพอควร สนนราคาที่ 3800 ไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ แต่ผมจ่ายเดือนละกว่า 5000 ทุกทีสิน่า เพราะค่าไฟที่ แพงกระหน่ำไม่ปราณีปราศัย และการใช้ชีวิตที่อื่นมากกว่าห้องพัก

ผมจึงอัปเปหิตัวเองออกจากที่นั่นหลังจากอยู่ไปประมาณ ปีกว่า และย้ายมาอยู่ ห้อง 2.5*3 เมตร ไร้ซึ่งแอร์ อินเทอร์เน็ต (ตอนนี้พยายามติดอยู่ แต่ยังไม่ได้สักที) และไม่มีโทรศัพท์ในห้อง ห้องเล็กๆ แค่หนังสือและนิตยสารที่กองสุมอยู่ก็กินพื้นที่ไปมากโข แต่ ใกล้ที่ทำงานมาก เรียกว่า ติดกันเลย เดินนาทีเดียวถึงออฟฟิศ ไม่ต้องคิดมากเรื่องรถติด สนนราคาที่ 2500 สิ้นเดือนมาจ่าย 3100 เป็นอย่างมาก อาจจะเพิ่มมาอีกนิด เพราะเพิ่งเซ้งตู้เย็นต่อจากเพื่อนห้องข้างๆ ที่ย้ายออกไปก่อนหน้า เพราะเขาไม่รู้จะขนตู้เย็นกลับบ้านยังไง เลยซื้อไว้แช่เบียร์

จึงเป็นที่มาของการ ไม่มีโทรศัพท์ และเครื่องปรับอากาศ ของผม นักเขียน CSS ท่านใดสนใจ พ๊อกเก๊ตบุคเล่มนี้หาซื้อได้ตามแผงหนังสือทั่วไปครับ เล่มสีบานเย็นมองเห็นเด่นชัดแต่ไกล ข้างในอัดแน่นด้วยคุณภาพ

๒. ขยายหน้าเว็บ!

หลังจากที่ดูไปดูมาแล้ว จากการดักจับหน้าจอคนเข้าเว็บ 99 เปอร์เซ็น อยู่ที่ 1024 ขึ้นไป ผมจึงตัดสินใจ ขยายหน้าเว็บ ออกไปเป็น 1000px ด้วยการ เปิดไฟล์ css หลักของเว็บขึ้นมา แล้ว กด คอนโทรล บวก F ใน โปรแกรม ดรีมวีฟเวอร์ 8 พิมพ์คำค้นหา ว่า 780 ซึ่งเป็นขนาดหน้าเว็บเดิมลงไป คลิ๊กที่ช่อง Replace All แล้วก็พิมพ์เลข 1000 ลงไปในช่องที่ 2 กด โอเค เซพไฟล์ แล้วอัพโหลดขึ้น อันเป็นที่เรียบร้อย หน้าเว็บกลายเป็น 1000px แล้ว

ง่ายมั้ยครับ แค่นั้นจริงๆ ในการขยายหน้าเว็บของผม หน้าเว็บขยายโดยไม่ต้องแตะไฟล์ index เลย ซึ่งหลังจากนั้นก็สร้าง DIV Box ขนาด 220px ไปวางไว้ข้างหลัง box ใดก็ได้ในหน้าแรก มันก็จะดัน divs อื่นๆ ออกไปเองโดยปริยาย แล้วค่อยเอาข้อมูลมาใส่ ด้วยการใช้คำสั่ง include ของ php อีกต่อนึง จะช่วยให้เราไม่ต้องไปยุ่มย่ามกับหน้าแรกของเว็บมากนัก

ที่เขียนไว้ด้านบน ผมเพียงแค่จะทำให้เห็นถึงความง่าย ของการจัดการหน้าเว็บด้วย css เป็นสำคัญนะครับ ว่าเราสามารถจัดการได้ง่ายเพียงใด ไม่ได้โอ้อวดว่าเก่งกาจ มาดฉลุยแต่อย่างใด ซึ่งเป็ด อย่างผม ก็ยังเป็นเป็ดอยู่วันยังค่ำนั่นแล

๓. เปลี่ยนแปลงอย่างมาก

หลังจากที่มีมือดี ที่ผมต้องขอบคุณเอาไว้ ณ ที่นี้ ที่เอา thaicss.com ไปโพสต์ ที่เว็บบอร์ดของ rookienet เมื่อวันจันทร์ ที่ผ่านมา จากจำนวนผู้เยี่ยมชม อยู่ที่ 20-30 คนต่อวัน มานานเดือน ตอนนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใครที่เคยเข้ามาเว็บ ไทยซีเอสเอส แรกๆ คงรู้กันดี ว่ามีไม่กี่สิบคนหรอก ที่คุยกันไป คุยกันมา

ที่ผมไม่ได้ประชาสัมพันธ์ หรือเที่ยวโพสต์ ตามเว็บบอร์ดต่างๆ มากมายนัก เพราะผมยังคิดว่า ตอนนี้ เว็บมันยังไม่พร้อมที่จะรับมือ กับเหล่าเซียนๆ ทั้งหลายนั่นเอง แต่ก็อย่างว่าแหละครับ เมื่อไหร่มันจะพร้อมหละ ตอนนี้ผมจึงต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเลย เพื่อตอบสนองต่อบาปกรรมที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมา แต่เพียงแต่เป็นประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ต่อคนที่สนใจเรื่องราวเหล่านี้แค่นี้ผมก็รู้สึกดี ไม่ได้เกิดมาไร้ค่ามากมายเท่าไหร่นัก ถึงแม้มันอาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็พอที่จะให้เอาไปต่อยอดกันได้แหละน่า

ผมอยากจะเน้นย้ำอีกครั้งนะครับว่า พื้นที่ของเว็บ thaicss.com เน้นการแลกเปลี่ยนเป็นหลัก ไม่ได้เน้นเรื่องการเรียนการสอน เพราะผมคิดเสมอว่า CSS เป็นเรื่องของการ Design มากกว่าการโปรแกรม Design คือศิลปะ แล้วก็ ศิลปะ มันสอนกันลำบาก ทำได้แค่เพียง แนะนำให้เห็นชี้แนะสิ่งที่มันควรจะเป็น ครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ เชื่อว่า ทุกท่านคงจะเอาไปต่อยอดกันเองได้ ?

มีความสุขกับการใช้ชีวิต ครับ

หมายเหตุ

*1 เสียเจียง

เพื่อนใหม่ที่ผมเพิ่งรู้จักตอนไปเตะบอลด้วยกันที่ รามคำแหง ผู้ซึ่งต้องทำหน้าที่นัดเพื่อนฝูงเตะบอลทุกวันพุธ มาทำหน้าที่แทนโปรโมเตอร์ไข่ ที่หนีไปเรียนต่ออเมริกา อย่างไร ขอให้ทั้งสองคน เรียนจบปริญญาโทกัน ไวไว ครับ

*2 คิดไม่พบ

ประโยคบอกเล่านี้ ผมหลุดปากพูดออกมาครั้งแรกตอนเรียนอยู่ปี 3 ซึ่งหลายท่านอาจจะไม่คุ้น ใช่ครับ มันเป็นภาษาไทย แต่โครงสร้างประโยคภาษาอีสาน “คิดไม่พบ” ภาษาอีสานคือ “คิดบ่พ่อ” หรือ “นึกไม่ถึง” ในภาษาไทยนั่นเอง และผมยังใช้คำนี้บ่อยๆ จนถึงวันนี้ ครับ