เมื่อผมกลับมาเริ่มทำงานประจำ
โดย พร อันทะ เมื่อ
หลังจากที่ห่างหายกับงานตอกบัตรไปกว่าเก้าเดือน ผมก็กลับเข้าสู่วังวนของการทำงานประจำอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าการทำงานเป็นฟรีแลนซ์ไม่ดี หรือได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ในทางตรงกันข้าม ในช่วงเวลาที่ผมทำงานในระบบและรูปแบบที่เขาเรียกกันว่า ฟรีแลนซ์ อยู่นั้น ค่าตอบแทนเมื่อแลกกับแรงงานที่ทำลงไปแล้วเรียกได้ว่าเกินคุ้ม
แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่เหมาะกับงานที่ต้องดูแล บริหารจัดการตัวเอง และงานไปพร้อมๆ กัน เพราะผมสรุปตัวผมเองแล้วว่า ผมไม่สามารถจัดการหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างให้ลงตัว และเดินไปด้วยกันได้อย่างราบรื่นอย่าง นั้นมากกว่า จนเกิดความเสียหายกับงานของผู้อื่นตามมาด้วย จึงจำเป็นต้องยุติตัวเองไป พร้อมทิ้งความเลวร้ายไว้ข้างหลัง พอให้คนเขานินทาเล่นๆ และจะได้ไม่ต้องคาดหวังอะไรกับตัวผมมากไปกว่าสิ่งที่เขาเห็นอีกต่อไป
ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ทำงานปกติอาจจะไม่ค่อยหนักหนาเท่าไหร่ แต่ถ้าทำงานอยู่ในสภาวะแบบแบกความคาดหวัง โดยเฉพาะของคนอื่นเอาไว้ด้วยนั้น มันออกจะหนักหนาเอาการอยู่ ลำพังแค่ทำตามความคิดของตัวเองให้ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นหรือให้ได้มาตรฐานการ ดำเนินชีวิตแบบฉบับของคนธรรมดานั้นก็วุ่นวายพออยู่แล้ว จึงเป็นที่มาของคำว่า “ไม่มีความรับผิดชอบ” นั่นเอง
แล้วบริษัทไหน เขาจะรับคนที่ “ไม่มีความรับผิดชอบ” อย่างผมเข้าทำงาน
จริงหรือไม่ ที่คนเราจะไม่มีความรับผิดชอบไปซะทุกอย่างในชีวิต ชีวิตเรา เลือกได้ใช่หรือไม่ ถ้าโอกาสไม่มี เราสามารถวิ่งเข้าหาโอกาสเหล่านั้นได้หรือไม่ จนเห็นช่องทางก่อนมักจะได้รับโอกาสก่อนใช่หรือไม่ คนที่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีจะคอยนินทาคนที่ได้รับโอกาสมากกว่า หรือไม่ ผมเชื่อ ในสิ่งที่ตัวเองมักจะไม่ค่อยจะเชื่อ มันอาจจะเป็นความเชื่อที่ห่างไกลองค์ความรู้มากเกินไป มันอาจจะเป็นความเชื่อที่ใช้เฉพาะสัญชาตญาณนำทางมากเกินไป
แต่อย่างน้อยก็พอที่จะหาเหตุผลมาประกอบทำให้เชื่ออย่างนั้นได้บ้าง จึงเป็นที่มาของการมุ่งเดินไปหาผลแห่งความเชื่อนั้นที่ผมอยากจะเห็นว่าผม สามารถทำให้มันเป็นจริงได้
เมื่อตอนเป็นเด็กผมมีความฝันอย่าง หนึ่ง ที่ตอนนี้ผมแทบไม่มีโอกาสเข้าไปย่างกรายใกล้แนวความคิดเดิมนั่นเลย “ผมอยากเป็นนักพากย์” ผมอยากพากย์หนังฝรั่ง เพราะผมจะมีโอกาสได้ดูหนังก่อนใคร ผมเคยคิดว่าพวกฝรั่งที่อยู่ในจอหนังที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนานั่นสามารถพูดไทย ได้ แต่มารู้ทีหลังว่าเขาพากย์ทับอีกที ไม่รู้ทำไมพอเวลาผ่านไปโตขึ้นมาผมก็เลิกอยากเป็นนักพากย์หนัง เปลี่ยนเป็นอยากเข้าไปทำงานในกองเซ็นเซอร์แทน แต่จนป่านนี้ก็ยังทำมาหากินในทางอื่นที่ไม่ค่อยใกล้เคียงกับความรู้สึกอยาก ในตอนเป็นเด็กแต่อย่างใดเลย เหมือนที่หลายๆ คนบอกเอาไว้ว่า “ชีวิตมันมีทางไปของมันเอง” ส่วน ใหญ่แล้วเราคงกำหนดได้แค่องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางที่เดินเท่านั้น จึงได้แค่ปล่อยไปตามทาง โดยพยายามอย่าให้มันออกนอกลู่นอกทางมากมายเท่านั้นพอ
ตอนเป็นเด็ก ผมเป็นเพียงเด็กบ้านนอกธรรมดาและขี้โรคคนหนึ่ง ถึงตอนนี้ผมก็ยังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรพิเศษพิศดาร นอกจากหนี้ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้น ไม่มีทีท่าว่ามันจะลดลง แต่ผมยังเชื่อว่าวันข้างหน้าผมจะสามารถใช้ให้หมดได้ เพราะขนาดเงินที่มียังใช้จนหมดได้ แค่หนี้ ทำไมจะใช้ไม่หมด แต่ตอนนี้มันยังใช้ไม่หมดแค่นั้นเอง ถ้าใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ ผมจะลองใช้เงินแบบใช้หนี้ดู บางที อาจจะทำให้ช่วงเวลาที่ผมใช้เงินที่มีในมือตอนนั้นมันยืนยาวกว่าปกติก็เป็น ได้
เพียงเพราะตอนเป็นเด็กผมออกแนวขี้ โรค มีโรคประจำตัว เลยพลอยทำให้พลาดโอกาสหลายๆ อย่างที่ควรจะมีที่ควรจะทำเป็นไป เช่น การไถนาโดยใช้ควายเป็นตัวขับเคลื่อน หรือการทำอะไรแบบสุดๆ ตามประสาลูกชาวนา ทอดแหจับปลา แต่บางทีอาจจะไม่ใช่ประเด็นที่ผมคิดก็ได้ พ่อของผมไม่หัดให้ผมไถนา อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นเขาอาจจะเคี่ยวเข็ญ แต่ผมปฏิเสธและโง่เกินกว่าที่จะเดินตามควายและบังคับไถให้ไปตามดินบนผืนนา นั้นได้ ประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักมากกว่า ตอนนี้ในทุกๆ ครั้งที่ผมมีโอกาสกลับบ้านแล้วเห็นเขาใช้ควายไถนา ผมยังคิดถึงวันเก่าๆ ในวัยเด็กช่วงนั้นเสมอ และยังเกิดคำถามในใจว่าทำไมพ่อไม่เคี่ยวเข็ญให้ผมสามารถไถนาได้สำเร็จ วันนี้ผมไม่สามารถกลับไปถามพ่อได้อีกแล้ว
เมื่อไม่มีโอกาสไถนา และไม่มีควายใต้ถุนบ้านให้จูงออกไปนาเหมือนเมื่อก่อนอีก ผมต้องหันเหหาสิ่งทดแทนที่ไม่ได้ใช้แรงงานนั้น ด้วยการเรียนหนังสือด้วยความตั้งใจตามปาก แต่ผลการเรียนกลับเป็นตัวบ่งชี้ว่า ผมเรียนหนังสือไปแบบตามมีตามเกิดมากกว่า เพราะหลังจากที่หลุดรอดรั้วโรงเรียนประถมประจำหมู่บ้านมา ผมแทบไม่เคยได้ใบแสดงสถานะประกาศหรือสร้างความเชื่อมั่นต่อพ่อ แม่ พี่ๆ เลยว่าผมเก่งหรือฉลาดกว่าปกติ ซ้ำเมื่อมองระดับความฉลาดตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว การเรียนของผมผ่านไปด้วยดี จริงๆ ดีที่แม่ของผมเลิกสนใจว่าผมจะร่ำเรียนยังไงไปแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ชายแทน จึงไม่มีคำถามจากแม่ในเรื่องของการเรียนเท่าไหร่
จนเมื่อผมมีอาชีพการงาน เป็นชิ้นเป็นอัน อย่างกระท่อนกระแท่น ความฝันและความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ผมอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ อย่าเพิ่งเถียงว่า “เงิน” ต่างหากที่ทำให้ชีวิตอยู่รอดมาได้ ใช่ครับ เงินคือสิ่งที่ช่วยให้ชีวิต มีชีวิต แต่ สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีจิตใจสำหรับผมแล้วมันคือความฝัน และความอยาก เพราะผมอาจจะถูกจัดอยู่ในพวก “สมาธิสั้น แต่ความฝันยาว” อะไรก็ตามที่อยากทำ แต่มันยังไม่ได้ทำ ไม่ได้เริ่ม หรือทำไม่เสร็จมันก็จะวกวนเวียนอยู่ในหัว จนวันหนึ่งต้องกลับมาสานต่อให้มันเสร็จอยู่ดี แล้วอะไรบ้างคือสิ่งที่ผมเคยฝันและฝันค้าง และกำลังทำฝัน
ความฝันลมๆ แล้งๆ มันก็ยังเป็นลมเป็นแล้ง อยู่วันยังค่ำ ตราบใดที่ไม่พยายามใช้ลมและความแล้งที่มีให้เกิดประโยชน์ บางทีเราอาจจะเปลี่ยนความแล้งกลายเป็นความเปียก แล้ววันหนึ่งเราคงได้ “ฝันแบบเปียกๆ” กันบ้าง ผมจึงตัดสินใจไปสานฝันต่อกับงานประจำ
บางที ความเปียกชื้นจะนำพาไปสู่ความมีชีวิตชีวา ผมเชื่ออย่างนั้น