อ่านหนังสือ
โดย พร อันทะ เมื่อ
มีพี่ที่รู้จักในซอยถาม ว่าปกติ เสาร์-อาทิตย์ นั้นผมทำอะไร ถึงแม้จะเป็นประเด็นส่วนตัว แต่ตามประสาไทย ไทย คำว่าส่วนตัว เราไม่ได้บรรจุไว้ในพจนานุกรม
ผมตอบตามความจริง ว่าอยู่ห้อง อ่านหนังสือ พลันทันใดเครื่องหมายคำถามปรากฎบนใบหน้านั้นและคำพูดที่ตามมา “น้องจะไปสอบที่ไหน?” หรือ “เรียนต่อหรือ?”
ผมเริ่มรู้สึกว่าประเทศนี้ชักแปลกๆ สงสัยว่าคนที่อ่านหนังสือต้องเป็นนักเรียนเท่านั้นดอกหรือ นอกเหนือจากนั้นไม่จำเป็นต้องอ่าน เกิดมาใช้ชีวิตอย่างเดียว ศึกษา โลก ชีวิต ด้วยกลวิธีอื่น ยกเว้นการอ่าน
ผมไม่อยากยกสถิติเก่าแก่จอมปลอมที่เคยหาว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัดต่อคน มาขยายความตามท้องเรื่องตรงนี้ได้ เพราะผมไม่เชื่อว่า 8 บรรทัดต่อคน ต่อปีนั้น มันคือเรื่องจริง ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจตัวเอง หรือต้องทำให้ตัวเองเสียความรู้สึก
ผมไม่ใช่หนอนหนังสือหรือคนที่หามรุ่งหามค่ำอ่านหนังสือ เป็นแค่เพียงว่างไม่ได้ ก็ต้องอ่าน แถมยังมีข้อแม้ว่า มันจะออกแนวเฉพาะที่ตัวเองอยากอ่านด้วยน่ะซี (อันนี้คงไม่ว่ากัน เพราะดูเรื่องรสนิยมแล้ว ต่างคนย่อมต่างกัน)
เสาร์อาทิตย์ วันหยุด เดินทาง ขึ้นรถลงเรือ ก็ควักหนังสืออกมาอ่าน
แปลกใจ ในรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะบนดิน หรือใต้ดิน น้อยมาก ที่ชนชาวไทยจะควักหนังสือสักเล่มออกมาอ่าน ผมเห็นส่วนใหญ่แล้วมักจะชอบควักโทรศัพท์รุ่นใหม่ ออกมาเล่นเกมส์โชว์ว่ามีอันจะกิน (ด้วยโทรศัพท์รุ่นล่าสุด) ซะมากกว่า ซึ่งอันนี้ก็ไม่ว่ากัน ชีวิตใคร ชีวิตมัน
แต่มีอย่างหนึ่งคือ เราอยู่ในสังคมเดียวกัน
อันนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงโฆษณาตามรถไฟฟ้าแต่ละขบวน ที่พี่แกปิดซะเสียงดัง ผู้โดยสารก็ต่างยืนนิ่งจ้องชมโฆษณาทั้งหลายปานต้องมนต์
หลายท่านที่อ่านหนังสือจนเต็ม เบื่อ ก็ไม่ได้ว่ากันนะครับ เพราะในห้วงนี้ผมก็เป็นเหมือนกัน หนังสือเล่ม หรือพ๊อกเก็ตบุ๊คที่วางขายอยู่บนแผง ไอ่สมองง่อยๆ อย่างผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามันกล้าเขียนออกมาขายได้อย่างไร ไม่ดูถูกสติปัญญากันเกินไปหน่อยหรือ ก็ยังคงเป็นแค่คำถาม
หลายเรื่องราวประสบการณ์ อาจจะทำให้คนส่วนหนึ่งเกิดอาการอิ่มหนังสือ นิตยสาร ก็ไม่จำเป็นต้องไปอ่าน แต่ ผมยังคิดว่า มันก็ยังมีหลายระดับให้เลือกเสพอยู่ดี
ประเด็นต่อมาเกี่ยวกับข้อสงสัยในการอ่าน เช่นว่าโลกทุกวันนี้อยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต เราสามารถค้นหาเรื่องราวที่จะอ่าน หรือศึกษาได้ไม่ยากเย็นนัก
ความสุนทรีย์ในการอ่านหนังสือนั้น ผมยังรู้สึกว่าการอ่านจากกระดาษดีกว่าการนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นไหนๆ ถึงวันที่ไม่มีไฟฟ้าใช้เรายังอ่านหนังสือได้
บางคนอาจจะคิดว่าชีวิตแสนสั้นนัก จะมัวเสียเวลาอ่านหนังสือไปใย มาใช้ชีวิตให้คุ้มดีกว่า
- ทีวีมีให้ดูก็ดูมันเข้าไป ละครเกาหลีมีมากมาย โอมจงจ้อง
- Youtube มีคลิปเป็นล้านๆ ที่ยังไม่ได้ดู
- Facebook มีอีกร้อยกว่าเพจที่ยังไม่ได้เข้า
- ดราม่ามีอีกสิบกว่าเรื่องที่ยังไม่ได้เสพ
งานการก็ยังค้างคา แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ
แต่ถ้ายังเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ชีวิตคือการเรียนรู้” อยู่นั้น ผมยังเชื่อว่าเรายังมีอารมณ์รักที่จะอ่าน ส่วนตัวผมเองยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังอ่านค้างคา บางเล่มอ่านไปถึงกลางเรื่องก็หมดอารมณ์ติดตาม จึงต้องพับเก็บทิ้งไว้อย่างนั้น
หลังจากอ่านได้สักระยะ ก็จะกลายเป็นอยากเขียน ช่วงนี้ผมเลยเริ่มที่จะเขียนแข่งกับ ธีร์ อัยมัย และ บักโก ใครจะปล่อยของได้เยอะกว่ากัน
มีความสุขกับการอ่านหนังสือและการเขียนครับ