ลูกอมของแม่
โดย พร อันทะ เมื่อ
ลุงคนขับกำลังเดินมานั่งประจำที่ หลังจากที่พ่อผมเรียกเป็นครั้งที่ 3 เพราะเกรงว่าเดี๋ยวจะกลับมาไม่ทันก๊งเหล้าตอนเย็นที่ใต้ต้นกระท้อนต้นใหญ่ หน้าบ้านผม
มันสำปะหลังเต็มคันรถอีแต๋น คาดว่าเที่ยวนี้น่าจะได้หลายพัน แต่คงไม่พอที่จะเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำหรอก แค่เพียงเพื่อได้มาเป็นค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายเล็ก เล็ก น้อย น้อยพาลูกชายคนสุดท้องไปโรงพยาบาลในวันที่หมอนัดเดือนนี้ก็พอแล้ว
ผมรีบวิ่งขึ้นมานั่งตรงกลาง พร้อมขนมในมือกล่องลายสีฟ้ากล่องนั้น เสียดายที่ผมเด็กเกินไปที่จะรู้จักสังเกตยี่ห้อเจ้าขนมนั่น รู้เพียงแต่ว่า ข้างในคงจะมีอะไรดี ดี ตามที่ลวดลายข้างกล่องโพนทะนาเอาไว้ เวลาที่ผมเขย่ามันแล้วมีเสียงดังแกร็ก แกร็ก
หลังจากที่กระดกเหล้าขาวเข้าปาก แม่ผมก็ทำตาหยีเพราะรส 40 ดีกรีแล้วเดินตามลูกชายมาขึ้นรถ พลันแม่ก็ได้ยินเสียงที่ผมเขย่ากล่องขนมกล่องนั้น แล้วแม่ก็พูดออกมาว่า “แม่ขอลูกอมที่อยู่ข้างในนั้นก้อนหนึ่งนะ” นัยว่าเพื่อที่จะเอามาอมแก้รสขมของสุรา ผมรับปากแม่ทันควันอย่างไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาตามประสาเด็ก
พลันที่ผมเทเจ้าที่ส่งเสียงแกร็ก แกร็ก ที่อยู่ข้างในนั้นออกมา กลับกลายเป็นตุ๊กตาหุ่นยางตัวกระจ้อยร่อย ของเล่นเด็กอย่างเดียวไปเสียฉิบ ผมสบสายตาแม่ด้วยสายตาแห่งความผิดหวัง แม่ก็บอกไม่เป็นไร แต่ทำไม…
มันเป็นเวลาสาย ของวันหยุดสุดสัปดาห์ วันหนึ่งในปี 2531
ทำไมภาพที่ผมกับแม่นั่งหน้ารถอีแต๋นในวันนั้นมันยังแจ่มชัดและเรียกน้ำตาให้ผมได้เสมอ
ในห้วงยามที่ผมหวนคิดถึงคราใด ผมพยายามหาคำตอบ คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นความตื้นตีบที่กระจุกอยู่ตรงหัวใจ มันทำให้ผมคิดถึงแม่และอยากกลับบ้านไปเยี่ยมท่าน แต่ยังไม่มีครั้งใดเลยที่ผมจะสามารถทำตามความอยากที่นึกขึ้นในตอนนั้นได้ ด้วยความที่ยังเป็นคนธรรมดา หาเช้ากินค่ำเพียงเท่านั้นหรือที่ทำให้ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้อย่างที่ใจ นึก
ผมยังจำได้เลือนลาง หรือผมเพิ่งมโนภาพในใจขึ้นมาเองว่าในวันนั้น ในวันที่ผมยังเป็นเด็ก ผู้รู้สึกเสียใจอย่างรุนแรงที่ผมไม่สามารถให้ลูกอมแก่แม่ได้ ถึงแม้ว่าแม่ผมจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมก็ยังนึกเสียใจในขนมกล่องพิเศษราคา 3 บาทกล่องนั้น ผมไม่ควรซื้อมัน ซึ่งสนนราคาเทียบเคียงกับการซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งห่อเลยทีเดียว
วันนี้ ในทุกๆ เดือน ผมได้แต่พยายามส่งเงินกลับบ้านเพื่อให้แม่ได้นำเงินนั้นซื้ออาหารไปวัดในตอน เช้า หรือให้หลาน หลาน ไว้ซื้อขนมในเวลาที่เด็ก เด็ก เหล่านั้นแบมือขอ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเงินไม่ได้มากมายอะไร แต่พี่สาวก็ยังบอกกับน้องชายคนสุดท้องอย่างผมเอาไว้ว่า “บ่เป็นหยังดอก แค่ส่งให้แม่ทุกเดือน ไม่ว่าเท่าไหร่ แม่ก็ดีใจ” ซึ่งก็คงเป็นอย่างที่พี่ผมว่า เพราะที่บ้าน แม่ผมยังมีลูกๆ อีกตั้งสามคนดูแลอยู่ตรงนั้น
แต่ก็ไม่วาย แม่ผมก็อยากให้ผมกลับไปเยี่ยมท่านบ่อย บ่อย ไม่ใช่ว่าผมไม่ต้องการ แต่ผมก็ยังคงต้องใช้ชีวิตตามทางที่ต้องเดินต่อไป มีเวลาเมื่อไหร่ ลูกลำดับที่ 9 คนนี้ก็พร้อมจะกลับไปหาแม่และคิดอยู่ทุกเมื่อทุกวัน
ผมได้แต่หวังเอาไว้ว่า คราวหน้าที่ผมกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน ผมจะชวนท่านไปร้านขายของชำประจำหมู่บ้านแล้วให้ท่านกรึ๊บเหล้าขาว ผมจะได้ยื่นลูกอมก้อนที่ผมติดค้างแม่ไว้เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมาได้เสียที
แต่เสียดาย ได้ข่าวมาว่า แม่ผมเลิกกรึ๊บเหล้าขาวเสียแล้ว
ลูกอมก้อนนั้นมันคงติดค้างอยู่ในอกผมตลอดไป เป็นลูกอมที่ถือไว้ก็ไม่ละลายในมือ อมเข้าไปก็ไม่ละลายในปาก หวังเพียงแต่ว่าสักวันมันจะหายไปในกรณีที่ถือว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
หรือมันเป็นลูกอมของแม่ ที่ให้ผมถือไว้ในใจ โดยเพียงแค่จินตนาการเอาว่าเมื่อไหร่มันจะหายไปจากความทรงจำ